ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

มีสาระ

๑๔ เม.ย. ๒๕๖o

มีสาระ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๖๐

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม เรื่อง บทสวดมนต์ที่ประพันธ์ขึ้นมาใหม่

ลูกกราบถามหลวงพ่อค่ะ

เนื่องจากลูกได้บทสวดมนต์มาบทหนึ่งจากวัดวัดหนึ่งซึ่งได้ประพันธ์ขึ้นมาใหม่ แล้วลูกก็ได้สวดเป็นประจำจนติดปาก เวลานี้ลูกจึงได้เกิดความสงสัยว่า ลูกสวดมนต์บทนี้แทนบทสวดมนต์ดั้งเดิมจนชินแล้วเจ้าค่ะ อยากกราบถามหลวงพ่อว่า ปฏิบัติแบบนี้สมควรหรือไม่อย่างไรเจ้าคะ

ตอบ : ในการสวดมนต์นะ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านสอน เวลาพวกเราสมัยที่หลวงตาท่านยังมีชีวิตอยู่ เวลาไปหาหลวงตา หลวงตาท่านจะบอก พวกโยมมารถเปล่าๆ เวลามาหาท่าน เราก็บรรทุกของไปทั้งนั้น คนเต็มรถเลย อย่างรถเรา เราไปกราบไปคารวะครูบาอาจารย์ของเรา ท่านบอก เวลามา มารถเปล่าๆ แต่เวลากลับนะให้ขนพุทโธกลับไปด้วย

เวลากลับไปแล้ว เห็นไหม เราไปหาครูบาอาจารย์แล้วเราระลึกถึงคุณงามความดี เราเตือนสติของเรา ให้เราระลึกถึงพุทโธๆๆ พุทโธในหัวใจ ถ้าในหัวใจเรามีพุทโธ คนที่มีพุทโธในหัวใจทุกๆ คนขึ้นไปนั่งบนรถเต็มรถไปเลย เวลาขากลับให้ขนพุทโธไปด้วย อย่ากลับรถเปล่าๆ ท่านให้ภาวนาพุทโธนะ ท่านฝึกให้เราภาวนา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาภาวนาพุทโธๆ ฝึกหัดขึ้นมา เวลาฝึกหัดขึ้นมา พุทโธกับบทสวดมนต์ต่างกันไหม เวลาเขามาถาม หลวงพ่อต้องสวดมนต์ไหม ต้องสวดมนต์ไหม” ต้องสิ ทำไมต้องไม่สวดมนต์ ต้องสวดมนต์สิ เพราะสวดมนต์คือการเจริญพุทธคุณ เพราะคำสวดมนต์นั่นน่ะธัมมจักฯ อาทิตฯ อนัตฯ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น พระพุทธเจ้าเทศนาว่าการก็เทศน์ธัมมจักฯ แล้วเทศน์ธัมมจักฯ ขึ้นมา พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม แล้วปัญจวัคคีย์เป็นพระโสดาบัน เวลาไปสวดอนัตตลักขณสูตร ไปเทศน์อนัตตลักขณสูตรเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา

เวลาเราสวดมนต์ๆ เราก็สวดมนต์บทสวดบทท่องบ่นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการสอนพระจนพระได้เป็นพระอรหันต์ แล้วเราก็มาสวดกันปากเปียกปากแฉะ ได้บุญไหม ได้บุญ เจริญพุทธคุณ เจริญธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า การสวดมนต์จำเป็นไหม จำเป็น

ถ้าไม่มีความจำเป็น ภาคปริยัติ การศึกษา ถ้าไม่มีการศึกษา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ให้มีการศึกษา ศึกษาแล้วให้ปฏิบัติ พอปฏิบัติแล้วจะเป็นปฏิเวธ ไอ้นี่เวลาบอกว่าไม่มีการศึกษา โลกจะเจริญได้เพราะการศึกษา ชาวพุทธเราก็แตกฉานในบาลี แตกฉานไปหมดเลย แต่ปฏิบัติไม่รู้เรื่อง

เขาศึกษาให้ปฏิบัติไง เวลาครูบาอาจารย์เรา เวลาพระบวชมา เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ นั่นอุปัชฌาย์มอบปริยัติไว้ให้แล้ว ศึกษาแล้ว ศึกษาแล้วให้เข้าป่าเข้าเขานะ ให้ประพฤติปฏิบัติทั้งตลอดชีวิตเถิด เวลาได้กรรมฐานไปแล้วให้ปฏิบัติให้ตลอดชีวิตเถิด แล้วปฏิบัติแล้วให้ทะลุเข้าไป ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ตีให้แตก พอตีให้แตกทะลุเข้าไปถึงหัวใจ ถ้าถึงหัวใจแล้วสำรอกคายกิเลสออกมันจะได้มีคุณธรรมขึ้นมาไง

ฉะนั้น บอกว่า เวลาเขาสวดมนต์จำเป็นไหม” จำเป็น แต่เวลาสวดมนต์ๆ เราสวดมนต์ถ้าคนตั้งใจสวดมนต์ สวดมนต์แล้วเรามีสตินะ การสวดมนต์นั้นก็ถูกต้องชัดเจน แต่ถ้าเราพลั้งเผลอ การสวดมนต์นั้นก็ผิด เวลาสวดมนต์สวดทั้งหมด เวลาเขาพิมพ์หนังสือกัน เขาพิมพ์บทสวดมนต์ เขาบอกว่ายอดพระไตรปิฎก ของฉันเป็นยอดพระไตรปิฎก ไอ้นั่นก็สุดยอดพระ-ไตรปิฎก เขาก็คิดว่าเขาไปรวบรวมรวบยอดมาไง

แต่ถ้าสุดยอดพระไตรปิฎกนะ นวโกวาท สมเด็จพระ-มหาสมณเจ้าท่านเป็นคนรจนาขึ้นมาก็คัดมาจากพระไตรปิฎก ทีนี้เวลาพระบวชใหม่ขึ้นมา เห็นไหม พระบวชใหม่ต้องมีการศึกษา เวลาศึกษานักธรรมตรี นักธรรมตรีศึกษานวโกวาท วินัยมุขเล่ม ๑ เล่ม ๒ เล่ม ๓ ศึกษาขึ้นมา ย่อพระไตรปิฎกมาไง ย่อพระไตรปิฎกมา เวลาใครบวชใหม่ได้ดูหนังสือนวโกวาท บางคนเอาสิ่งนี้ไปเป็นเข็มทิศชีวิตเลยนะ ไปเป็นเครื่องอาศัย เวลาเป็นการส่องทางชีวิต นวโกวาทนั่นน่ะยอดพระไตรปิฎก เวลายอดพระไตรปิฎกมันเป็นเนื้อหาสาระไง

คนเทียมมิตร มิตรแท้ มิตรเทียม เคารพทิศ เวลาทิศ เคารพพ่อแม่ เคารพ กตัญญู นวโกวาทน่ะ นั่นน่ะหัวใจพระ-ไตรปิฎกเลย แต่แต่ก็เป็นปริยัติ เพราะในวินัยมุขสมเด็จพระ-มหาสมณเจ้าท่านเขียนไว้ ถ้าวินัยข้อไหน เห็นไหม ข้อนี้ยังมีความสงสัย คือยังตัดสินไม่ชัดเจน ให้นักปราชญ์รุ่นต่อไปได้วิเคราะห์วิจัยต่อไป พระไตรปิฎก เห็นไหม อ่านแล้วท่านขบไม่แตก ว่าอย่างนั้นเถอะ คือบางอย่างมันยังคาใจ มันไม่สามารถทะลุปรุโปร่ง

พอมาถึงหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาปริยัติเขาประชุม ประชุมสังฆาธิการไง เขาบอกว่า ไอ้ไม้สีฟัน ๔ นิ้วเป็นอย่างไร” เขาสงสัยนะ เพราะในพระไตรปิฎกมันมี ในอรรถกถามี สุดท้ายแล้วเขาเข้าใจกันไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ พระป่า เขาบอก พระป่าไม่มีการศึกษา พระป่าโง่ๆ เซ่อๆ วันๆ เอาแต่หลับหูหลับตามันจะรู้อะไร” ท่านลุกขึ้นนะ แล้วท่านก็เปิดกระเป๋าช้อนของท่าน แล้วท่านก็เอาไม้เจีย บอก นี่ไง นี่ไม้จิ้มฟันยาว ๔ นิ้ว

เพราะไม้จิ้มฟันนี่นะ เมื่อสมัยโบราณมันยังไม่มียาสีฟัน เขาใช้ข่อย ใช้ไม้คนทา แล้วเอามาทุบ ทุบเสร็จแล้วมันเป็นสมุนไพร แล้วเขาแคะฟันด้วย สีฟันด้วย พอสีฟันด้วย พระสมัยพุทธกาล เขาก็ทำไม้เจียยาวเป็นศอกเลยนะ แล้วเขาไปตีเณร เณรร้องไห้ อยู่ในสุตตันตปิฎก เวลาสุตตันตปิฎกคือนิทาน คือการเล่าเรื่อง มันเป็นนิทาน มันเป็นเรื่องยาว วินัยปิฎก สุตตันต-ปิฎก อภิธรรมปิฎก นี่ไง ยอดพระไตรปิฎก เวลาเขาประชุมกัน บอกว่า ไอ้ไม้เจียมันเป็นอย่างไร” ไอ้ไม้จิ้มฟันยาว ๔ นิ้ว เพราะในพระไตรปิฎกมันจะมี มีคืบพระสุคต เวลาตัดจีวรคืบพระสุคตได้กี่คืบ มันมีมาทั้งนั้น แล้วศึกษาธรรมไหม

ศึกษาธรรมวินัยเอาไว้ในสมอง เวลาเจอโยมก็ เจริญพร เจริญพร อาตมายังขาดแคลน” ศึกษาพระไตรปิฎกศึกษาไว้ในสมอง เวลาเทศนาว่าการนะ ยังขาดแคลน ยังสร้างไม่เสร็จ” ไม่บอกถึงธรรมวินัยเลย ธรรมวินัยบอกว่า สมณะให้สงบระงับ สมณะฉันแล้ว ทำภัตกิจแล้ว ให้เข้าคูหา ให้เข้าเรือนว่าง สมณะไม่ต้องมาขาดแคลน เช้าบิณฑบาตไปเต็มบาตรแล้ว ทุกอย่างพร้อมแล้ว สมณะควรจะเป็นสมณะนู่น” ถ้าจะบอกยอดพระไตรปิฎก

นี่ไง เวลาบอกยอดพระไตรปิฎกๆ เวลาใครพิมพ์หนังสือก็ว่ายอดพระไตรปิฎก เวลาสวดมนต์ สวดมนต์จำเป็นไหม จำเป็น แต่จำเป็นๆ ไง อาทิตฯ อนัตฯ ธัมมจักฯ เวลาในสมัยปัจจุบัน โย จกฺขุมาฯ เวลาไปสวดมนต์บ้านทุกวันๆ สมเด็จพระจอมเกล้าฯ เป็นคนแต่ง มันแต่งสมัยพระจอมเกล้าฯ เพราะพระไตรปิฎกมันมีของมันไง บาลีเขามีดั้งเดิมมา แล้วผู้ที่มีการศึกษา เขาแต่งเติมได้ เขาแต่งของเขาได้ ทีนี้ใครศึกษาขึ้นมามันก็ต้องรู้ว่าบทนี้ คำสอนนี้มันมาจากไหน มันมาอย่างไร ใครเป็นคนสอน นี่พูดถึงยอดพระไตรปิฎก

พูดถึงการสวดมนต์นะ สวดมนต์จำเป็นไหม” จำเป็น แต่เป็นระดับของการสวดมนต์ เพราะเวลาปฏิบัติมาแล้ว เวลาในประวัติครูบาอาจารย์มันเป็นวัฒนธรรมของชาวอุบลฯ เวลาชาวอุบลฯ เขาสวดมนต์นะ เพราะว่าเราไปอ่านประวัติหลวงปู่ชาก็มีตรงนี้ ประวัติของหลวงปู่เสาร์ก็มีตรงนี้ ประวัติของหลวงปู่มั่นก็มี แต่แต่หลวงปู่มั่นท่านก็สวดมนต์เหมือนกัน ขอให้ธรรมมาสถิตที่ตา ขอให้ธรรมมาสถิตที่ใจ ขอให้ธรรมมาสถิตอายตนะ” รู้ธรรมไปหมดเลย เป็นบทสวด แล้วหลวงปู่เสาร์ท่านก็สวดของท่านมา แล้วหลวงปู่มั่นท่านก็สวดของท่านมา

แต่พอเวลาหลวงปู่มั่นท่านมาประพฤติปฏิบัติของท่าน เวลามีศีลคือความปกติของใจ พอจิตมันสงบมันเป็นสมาธิ ถ้าสมาธิแล้วมันออกค้นคว้าออกพิจารณาของท่าน อ๋อเวลาธรรมมันจะเกิด มันเกิดจากมรรค มันเกิดจากจิตที่มันมีสติมีปัญญา มีการค้นคว้า ธรรมมันจะเกิดมันต้องเกิดอย่างนี้ ธรรมไม่ใช่เกิดว่าขอให้ธรรมมาสถิตที่ตา ขอให้ธรรมมาสถิตที่ใจ มันก็เป็นการขอ เป็นการอ้อนวอนแบบที่เราปรารถนา ทุกคนก็ปรารถนา เวลาประพฤติปฏิบัติก็อยากมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ทุกคนก็อยากมีมรรคมีผล แต่การอ้อนวอนขออย่างนั้นมันก็เป็นการอ้อนวอนขอตลอดไป มันเป็นความจริงขึ้นมาไม่ได้ มันจะเป็นความจริงขึ้นมามันเกิดจากการประพฤติปฏิบัติ

ฉะนั้น เวลาหลวงปู่เสาร์ท่านก็สวดมนต์ของท่าน ๓ ๔ ชั่วโมง กว่าท่านจะเข้าทางจงกรม ฉะนั้น เวลาหลวงปู่มั่นท่านออกมาประพฤติปฏิบัติ ทีแรกท่านก็ติดสอยห้อยตามหลวงปู่เสาร์มา หลวงปู่เสาร์เป็นคนไปเอาหลวงปู่มั่นมาบวช หลวงปู่เสาร์มา หลวงปู่มั่นก็ติดสอยห้อยตามมาจนปีกกล้าขาแข็งพอที่จะยืนตัวเองได้ แล้วลูกศิษย์ลูกหามีคนเริ่มรู้จัก ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นก็จำนวนมาก ลูกศิษย์ของหลวงปู่เสาร์ก็จำนวนมาก ถ้าจะไปด้วยกันแล้วมันพะรุงพะรัง ท่านก็แยกกัน แยกกันออกค้นคว้าหาความจริง

พอค้นหาความจริงด้วยอำนาจวาสนาของหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านมีดวงตาเห็นธรรม ท่านพิจารณาของท่านไปจนมีคุณธรรมในใจของท่าน ทีนี้ท่านก็ไปแก้หลวงปู่เสาร์ไง ไม่ต้องสวดๆ สวดอยู่นั่น ๓ ชั่วโมง ถ้าเดินจงกรมไปป่านนี้จิตสงบไป ๓ รอบแล้ว” โต้เถียงกันหลายปี เราไปเห็นอยู่ในประวัติของครูบาอาจารย์มามาก สุดท้ายแล้วเราก็เอาเรื่องนี้ที่ศึกษามาเป็นตัวอักษร ที่ศึกษามาเป็นการจดจารึก ก็เหมือนเราสวดมนต์จะจริงหรือไม่จริง

เราไปอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ เราถามหลวงปู่เจี๊ยะเรื่องนี้ว่าจริงหรือไม่จริง เพราะหลวงปู่เจี๊ยะเป็นคนอุปัฏฐากหลวงปู่มั่น หลวงปู่เจี๊ยะเป็นผู้ที่หลวงปู่มั่นสั่งให้ไปอุปัฏฐากหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เสาร์จะเจ็บไข้ได้ป่วย หลวงปู่มั่นเป็นคนส่งหลวงปู่เจี๊ยะเป็นตัวแทนไปดูแล เวลาหลวงปู่เสาร์ท่านเจ็บไข้ได้ป่วยนะ หลวงปู่มั่นท่านระลึกถึง แต่ท่านไปด้วยตัวท่านเองไม่ได้ เพราะท่านก็ชราภาพ เพราะอายุของท่านใกล้เคียงกัน แต่ท่านเคารพบูชากัน เป็นลูกศิษย์กับอาจารย์ เวลาหลวงปู่เสาร์เจ็บไข้ได้ป่วยก็ส่งหลวงปู่เจี๊ยะเป็นตัวแทนไปอุปัฏฐากหลวงปู่เสาร์ ฉะนั้น ท่านอยู่ด้วยกัน ท่านอยู่กับทั้งหลวงปู่เสาร์ด้วย ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นด้วย

ฉะนั้น เราถามเรื่องนี้บอกว่า เวลาหลวงปู่เสาร์ท่านบอกว่าให้ธรรมมาสถิตที่ตา ให้ธรรมมาสถิตที่ใจ อย่างนี้จริงหรือไม่” ท่านบอก จริง” ในสมัยที่หลวงปู่มั่นท่านทำอะไรที่อยู่ในประวัติ ประวัติหลวงปู่มั่น ในคำที่ร่ำลือกันมาไง เป็นนิทาน คนนั้นจำมาปากต่อปาก มันมีการคลาดเคลื่อนบ้าง เราก็จำคำพูดแต่ละที่เขาพูดกันว่าหลวงปู่เสาร์ทำอย่างนั้น หลวงปู่มั่นทำอย่างนี้ ไปถาม หลวงปู่เจี๊ยะ ไปถามพ่อแม่ครูจารย์คือหลวงตา ถามมาหมดล่ะ

ถามตอนไหน ถามตอนคุยกันตัวต่อตัวไง ถามตอนเวลาท่านมาโพธารามคุยกัน เพราะท่านมาลงรถแล้ว เรากับท่านต้องไปคุยกันก่อน คนที่โพธารามจะเห็นทุกเที่ยว ถ้าหลวงตามาโพธาราม ท่านจะจอดรถ แล้วท่านมีอะไร ท่านจะใส่เราก่อนเลย ไปใส่กันตัวต่อตัว เป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร ว่ามาๆ” “ขั้นนี้เป็นอย่างไร ว่ามา

เราก็ต้องแล้วบางทีก็หลายเรื่องๆ นี่พูดถึง จะพูดว่า เพราะเราเองเรารับ ส่วนใหญ่พระที่เขาพูดคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไอ้เรื่องโม้ ไอ้เรื่องนิทาน ไอ้เรื่องไม่จริงแล้วพูด เราโต้แย้งตลอด สังเกตได้ว่าเราจะพยายามลบล้างไอ้คำร่ำลือ ไอ้การใส่ไข่ ตีไข่ใส่สี เราพยายาม เพราะว่ามันเป็นเรื่องไม่จริง ฉะนั้น เวลาเราพูดมันมีที่มาที่ไปหมดล่ะ

ฉะนั้น กรณีอย่างนี้ กรณีอย่างที่ว่าเวลาหลวงปู่มั่นท่านไปแก้หลวงปู่เสาร์ไอ้ที่สวดนะ เราจะบอกว่าสวดมนต์จำเป็นไหม จำเป็นแบบผู้ที่เข้ามาใหม่ ผู้ที่ฝึกหัด จำเป็นทั้งนั้น เราจำเป็นนะ เพราะเราสรรเสริญพุทธคุณ เวลาเราสวดมนต์สวดพร เทวดา อินทร์ พรหมท่านรับรู้ ในบ้านในเรือนของเราจะมีความสงบสุข เราจะไปอยู่ที่ไหนมันมีเจ้าที่เจ้าทาง มันมีคนที่พึ่งพาอาศัย

เวลาเราไปอยู่ป่าอยู่เขาเรายังสวดมนต์ เราไปธุดงค์กัน เราก็ยังสวดมนต์อยู่ สวดมนต์ก็สวด แต่เราสวด ดูสิ เวลาไปอยู่ป่า กลัวงูก็สวดวิรูปักเข ไปอยู่ป่ากลัวอะไรก็สวดมนต์บทนั้น เพื่อให้ตัวเองมั่นใจถ้ากลัว แต่ส่วนใหญ่แล้วเราไม่กลัว นิสัยแปลก ธุดงค์มาไม่เคยกลัวอะไรเลย แล้วเวลาสวดกับครูบาอาจารย์ อย่างไปธุดงค์ด้วยกันเขาสวดอาทิตฯ อนัตฯ เขาสวดกันไป สวดเสร็จแล้วก็แยกกันไปอยู่ใครอยู่มัน

แต่จริงๆ แล้วนะ เราพุทโธ พุทโธอย่างเดียว เราเอาหัวใจของเรา ศีลบริสุทธิ์ จิตมั่นคง ไม่เคยกลัวอะไรเลย อยู่ในป่านะ ช้างเวลาอยู่ด้วยกันนะ พระไปด้วยกัน หน้าหนาวเขาก็เอาจีวรห่มไว้ มันหนาวไง ช้างมันมาหากินนะไม่มีใครได้ยิน ฉะนั้น พอเราภาวนาเสร็จแล้วมันจะออกจากภาวนาไง ก็สะบัดผ้าออก พอสะบัดผ้าออก ช้างมันอยู่แถวนั้นมันตกใจ มันร้องแปร๋นโอ้โฮลั่นป่าเลย โอ้โฮขนหัวตั้งไปหมดเลย

อยู่ในป่าเจอสภาพแบบนี้เยอะแยะ ไม่กลัว เพราะอะไร เพราะจิตมันลงแล้ว จิตมันลงกับสัจจะความจริงไง ถ้ามีเวรมีกรรมต่อกัน เชิญ ถ้าเรามีเวรมีกรรมต่อเขา หนีไปอยู่บนก้อนเมฆก็ไม่พ้น หนีไปอยู่บนดวงอาทิตย์มันก็ไม่จบ ถ้าคนมีเวรมีกรรมต่อกัน ถ้าเรามีกรรมต่อเขาอย่างไร มันก็ต้องเป็นเวรเป็นกรรมวันยังค่ำ เชิญตามสบาย แต่ถ้าไม่มีเวรมีกรรมต่อกันนะ เอ็งทำข้าไม่ได้ เพราะข้าไม่มีความผิด ข้าทำความสะอาดบริสุทธิ์ตลอด เวลาเราเที่ยวป่านะ

ฉะนั้น เขาถามว่าคำสวดมนต์ โอ๋ยไปไกลเลย ไปไกล จะเห็นว่าสวดมนต์จำเป็นไหม จำเป็นนะ แต่ถ้าจำเป็นนะ เราจะเป็นเด็กอยู่ทุกวันใช่ไหม เราเกิดมาแล้วอายุ ๓ ขวบแล้วไม่โต อยู่ ๓ ขวบไปจนตายนั่นน่ะ เพราะอะไร เพราะมันต้องทำงานไง ขอแม่ตลอด มันอยู่ไม่ได้ คนเรานะ ๓ ขวบ ๑๐ ขวบ ๒๐ ๓๐ ๖๐ ๗๐ ๘๐ ตาย จิตก็เหมือนกันมันต้องพัฒนา คนเรา เห็นไหม เด็กๆ ควรสวดมนต์ไหม สวด เราเข้าวัดเข้าวาสวดมนต์ไหม สวด ต้องสวดมนต์นะ สวดมนต์

ทีนี้พอสวดมนต์แล้ว พอสวดมนต์แล้วถ้ามันต่อเนื่องไปล่ะ สวดมนต์เรื่องอะไร ถ้าสวดมนต์เรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราก็เป็นชาวพุทธไง แต่ถ้าไปเจอครูบาอาจารย์ที่เฉไฉ ว่าอย่างนั้นเลยนะ เขาแต่ง ถ้าไปเจอลัทธิอื่นแต่ไม่ใช่ศาสนาพุทธเขาเข้ามาอยู่ในเมืองไทยนะ เขาบอกเขาเป็นพระพุทธศาสนา ไม่อยากเอ่ยชื่อ ถ้าอยากรู้เดี๋ยวถามหลังไมค์ เขาเอาพระมาตั้งไว้ แล้วเขาบอกว่า เขาเป็นพระพุทธศาสนา แล้วเขาแต่งคำสวด แล้วสวดเคารพอะไรล่ะ

มันมีนะ คนที่มีสติปัญญาเขาบอกว่า เวลาเขาทำบุญกุศล เขาอยากจะทำบุญกับพระที่ไว้ใจได้ ถ้าทำพระที่ไว้ใจไม่ได้ เราทำบุญกับเขามันเป็นสายบุญสายกรรมไง สายบุญสายกรรมว่าคนมันทำบุญร่วมกันมา คนเราเคยอยู่ร่วมกันมามันจะต้องมีเวรมีกรรมกันต่อไป ฉะนั้น เวลาเขาทำบุญกุศลเขาจะเลือกทำแต่พระที่เขาไว้ใจ

มีคนมากนะ เขาจะมานิมนต์เรานี่แหละให้ไปที่บ้านเขา ไปรับไทยทานจากปู่จากย่าอะไรของเขา เขาขอ เราบอกเราไม่ไปหรอก เขาบอกว่า หลวงพ่อ หนูก็รู้อยู่นะ ไปนิมนต์พระมา หนูไม่ลงใจหรอก แต่เพราะว่าพ่อเขา เขาก็ต้องอยากให้ทำบุญ” เขาก็นิมนต์มา แล้วเขาทำบุญเยอะด้วย ทำบุญหนักๆ ด้วยนะ เป็นล้านๆ แล้วเขาจะนิมนต์เราไป ไม่ไป เขาบอกว่า เขาทำอย่างนั้น เขาทำไปแล้ว แล้วพ่อแม่เขามันเป็นสายบุญสายกรรม กับไปอย่างนั้นเขาไม่เห็นด้วยเลย” เวลาคนที่เขาศึกษาแล้วเขามีสติปัญญาอย่างนี้เขารู้

ไอ้นี่พูดถึงคนเขาจะทำบุญนะ มันเป็นสายบุญสายกรรม เหมือนกับกฎหมายทางโลก เขาเรียกอะไรนะ สมรู้ร่วมคิด ทำผิดโดยการสมรู้ร่วมคิด ต้องติดคุกหมดทั้งขบวนการ เพราะมันสมรู้ร่วมคิดทำกันมา นี่ก็เหมือนกัน เราทำบุญทำกุศลในสายบุญสายกรรม เราทำกันไป เขาถึงไม่อยากทำอย่างนั้น เขาพยายามหาครูบาอาจารย์ที่ดี แต่แต่มันก็เป็นอำนาจวาสนาเนาะ

หลวงตาท่านจะพูดบ่อย เราอยู่กับท่าน ท่านบอกว่า เราเป็นคนวาสนาน้อย ท่านไม่เคยไปไหนเลย เราเป็นคนวาสนาน้อย เราไม่ใช่คนแบบว่ามีฤทธิ์เดชอะไร จะต้องเข้าไปคลุกคลีกับชาวบ้าน เราเป็นคนอำนาจวาสนาน้อย” นี่ก็เหมือนกัน เราก็อำนาจวาสนากูก็โคนต้นไม้นี่แหละ กูไปไหนไม่เป็นหรอก เขามานิมนต์ มันไม่ไป

เราเปรียบเทียบอันนี้กับบทสวดมนต์ เวลาบทสวดมนต์เขาเขียน เขาเขียนว่าอย่างไร ถ้าเป็นบาลี ถ้าเขาเขียนของเขา แล้วเคารพบูชาใครแล้วเราจะสวดตามเขาไปอย่างนั้นใช่ไหมพูดถึงว่าบทสวดมนต์ เขาบอกว่า เขาได้บทสวดมนต์มาจากวัดวัดหนึ่ง มันเป็นการแต่งขึ้นมา เป็นบทประพันธ์ใหม่ บทประพันธ์ใหม่

ดูสิ โย จกฺขุมาฯ มันมี โย จกฺขุมาฯ กับ สัมพุทเธฯ เขาสวดแทนกันเวลาทำบุญบ้าน สัมพุทเธฯ พระพุทธเจ้าร้อยพระองค์ พระพุทธเจ้าพันพระองค์ สัมพุทเธฯ มาจากพระไตรปิฎก โย จกฺขุมาฯ พระจอมเกล้าฯ เป็นผู้แต่ง แต่มันก็สรรเสริญพุทธคุณ สรรเสริญถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ชัดเจนด้วยหัวใจที่เป็นนักปราชญ์ หัวใจคนที่เป็นธรรม เวลาท่านเขียนถึงบทสวดมนต์ คือ สรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราสวดแล้วเราสะอาดบริสุทธิ์ เราสวดแล้วเราถึงรัตนตรัย เราสวดแล้วถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราสวดแล้วมันเป็นคุณงามความดี

แต่เขาบอกว่า เขาไปสรรเสริญลัทธิของเขา เขาไปสรรเสริญสิ่งที่เคารพบูชา แต่นอกพระพุทธศาสนาล่ะ โยมเห็นตามวัดทั่วๆ ไปเดี๋ยวนี้ไหม รูปเคารพมันปั้นอะไรกันก็ไม่รู้นั่น แล้วมันเคารพอะไรกันนั่น แล้วถ้าเขาบอกเขาเคารพรูปอย่างนั้น แล้วเราจะไปเป็นจิ้งจกตุ๊กแกอยู่กับเขาใช่ไหม ถ้าเราทำอย่างนั้นเราก็เป็นจิ้งจกตุ๊กแกกับเขาน่ะสิ

นี่พูดถึงว่า มันต้องดูที่บทสวดนั้นด้วย บทสวดนั้นหมายถึงว่าอะไร ไปเคารพบูชาอะไร เราเคารพบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นะ นอกจากนั้นเราไม่เคารพ เราไม่เคารพ เราไม่ถือมงคลตื่นข่าว เราไม่เคารพนอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้ามันเป็นบทที่เขียนถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอออย่างนี้เราสวดแล้วมันถูกต้องดีงาม แล้วมันก็เป็นพระพุทธศาสนา แต่ถ้ามันไม่ใช่ล่ะ ถ้ามันไม่ใช่ล่ะ แปลได้ คนที่ได้บาลีเขาแปลหมดล่ะ

ทีนี้พูดถึงว่าถ้าโดยคำถาม คำถามเขาถามมาอย่างนี้ไง เขาเขียนว่า เป็นบทสวดมนต์ที่ประพันธ์ใหม่ขึ้นมา นี่คือคำถาม แล้วเขาก็สวดจนขึ้นใจแล้ว สวดจนติดปากแล้ว จนลืมบทสวดมนต์ที่เวลาเราสวดกันทุกวัน” อันนั้นก็เรื่องของเขา เพราะมันแปลกมาก เพราะธรรมดาบทสวดมนต์นะ จะแต่งได้ดีเลิศขนาดไหน มันไม่พ้นจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรอก ใครจะมีปัญญาเกินพระพุทธเจ้า มันเป็นไปไม่ได้หรอก แล้วพูดถึงถ้ามันเป็นไปไม่ได้ บทพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดูที่เราสวดกันอยู่นี่ มันเลอเลิศ มันสุดยอดอยู่แล้ว

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาเราพูดอะไร เราจะยกหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นตลอด เพราะ เพราะหลวงปู่เสาร์ท่านปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า หลวงปู่มั่นท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า แล้วท่านสร้างสมบุญ-ญาธิการมามาก ท่านถึงมีปัญญามากกว่าเรา ไอ้พวกเราไอ้พวกเดินตามหลัง ให้เดินให้ทันเถอะ ไอ้พวกเรามันปัญญาน้อย ฉะนั้น ปัญญาอย่างพวกเรา มันจะเข้าไปแยกแยะไอ้ความละเอียดลึกซึ้งอย่างนี้ เราคิดว่าเราไม่รอบคอบเท่าท่าน

ฉะนั้น พอไม่รอบคอบเท่าท่าน แสดงว่าท่านก็ได้เดินธุดงค์ ท่านได้พิจารณาของท่านมาหมดแล้วในภูมิภาคนี้ ฉะนั้น เราเชื่อมั่นมาก เราเชื่อมั่นความเห็นของครูบาอาจารย์ของเรา เพราะครูบาอาจารย์ของเราท่านสร้างสมบุญญาธิการมา ท่านมีปัญญาของท่าน ท่านวินิจฉัยของท่าน มันถูกต้องหมดแล้ว ฉะนั้น เวลาท่านพิจารณาแล้ว พอพิจารณาแล้ว เวลาท่านสอน เห็นไหม หลวงปู่มั่นสอนอะไร สอนหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ

ไอ้พวกเราปัญญาชน โอ้โฮมันเป็นสมถะ มันไม่มีปัญญา” ไอ้พวกเรานี่แหมปัญญาเลอเลิศ ไอ้พวกปัญญาเยอะ รู้ไม่เท่าท่านหรอก

เพราะเวลาเราประพฤติปฏิบัติจริงๆ แล้วเราต้องการความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบได้ แล้ววิธีการที่จะเอาใจสงบได้ ตอนนี้ก็เข้าไปหาหลวงตาอีกล่ะ หลวงตาจิตเสื่อมหมดเลย เวลา ท่านจะออกปฏิบัติใหม่ๆ ท่านไปที่จักราช ท่านบอกว่า ท่านจำพรรษาที่นั่น กำหนดดูจิตเรื่อยๆ กำหนดดูจิตโดยไม่ได้พุทโธ ตอนนั้นท่านยังไม่ได้พุทโธ” ท่านบอก อู้ฮูจิตนี้สงบมาก จะตามหลวงปู่มั่นให้ทัน ก็มาทำกลดหลังหนึ่งที่บ้านตาด ที่บ้านเดิมของท่าน พอทำพอไปคลุกคลีการทำกลดนั่น จิตเสื่อมหมดเลย จะกลับมาให้มันเข้าสงบอีกไม่ได้เลย กำลังร้อนน่ะ

ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นไง หลวงปู่มั่นบอกเลยนะ จิตนี้มันเหมือนเด็กๆ เด็กๆ มันต้องการอาหาร ต้องการความอยู่สุขสบาย จิตของคนถ้ามันมีพุทโธ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มันก็มีสุขสงบของมัน เวลาถ้ามันเสื่อม มันเสื่อมขึ้นมา มันขาดอาหารของมัน ฉะนั้น เวลาที่จะเอาจิตสงบมันก็ต้องมานึกพุทโธ

แล้วตอนนั้นท่านไม่เคยนึก แล้วจิตมันเสื่อมไปแล้ว กว่าจะนึกได้ ๓ วันแรกอกเกือบแตก ๓ วันแรกมันจุกอกเลย มันทรมานมาก จนพยายามบังคับให้มันพุทโธจนได้ พอมันพุทโธได้ จิตมันกลับมาสงบ พอพุทโธได้ พอพุทโธเป็นหลัก พอเป็นหลักจิตมันจะเสื่อมหรือไม่เสื่อม จิตมันจะเกเรขนาดไหน ถ้าเรามีสติยึดพุทโธไว้นะ คนที่ประพฤติปฏิบัติแล้วยึดพุทโธไว้นะ จิตมันจะดื้อด้าน จิตมันจะแผลงฤทธิ์ จิตมันจะออกฤทธิ์อย่างไรนะช่างหัวมัน เกาะพุทโธไว้ เกาะพุทโธไว้ พุทโธๆๆ มึงจะไปไหนเรื่องของมึง กูอยู่กับพุทโธเนี่ย พุทโธๆๆ

ทีนี้คนมันไม่ไหวไง พอจิตมันดิ้น จิตมันออกฤทธิ์ พอมันพาไปไหน ไปกับมันหมดเลย มันไปรู้ไปเห็นอะไร ไปหมดเลย ไม่มีวันฟื้นกลับมา มันจะฟื้นกลับมาได้ท่านพยายามของท่าน ๓ วันแรก คำว่า อกจะแตก” คำว่า อกจะแตก” คนไม่เคยเจริญแล้วเสื่อมไง คนไม่เคยทำสมาธิแล้วสมาธิเสื่อมหมด มันจะรู้เลยว่ามันทุกข์ยากแค่ไหน

พอเวลามันเสื่อมหมด เห็นไหม แล้วหลวงปู่มั่นสอนอย่างนั้น สอนอย่างนั้น ท่านด้วยความเคารพ มันโหยหามานานไง ท่านตั้งแต่ศึกษาก็อยากจะพบหลวงปู่มั่น เวลาปฏิบัติแล้วก็อยากพบหลวงปู่มั่น เวลาจิตมันเสื่อมแล้วก็อยากพบหลวงปู่มั่น ด้วยความโหยหา ด้วยความลงใจอันนั้น มันถึงพยายามทำได้ โอ้โฮพอทำได้ พอมันฟื้นมานะ แล้วเวลาท่านปฏิบัติของท่านขึ้นไป พอใช้สติ ใช้ปัญญาไป เวลาหลวงปู่มั่นพูดถึงถูกทั้งนั้นเลย แล้วพอเวลาท่านปฏิบัติไปมันจะผ่านไปๆ

ทีนี้มันย้อนกลับมา พวกเราพอผ่านอุปสรรคแล้วมันจะย้อนกลับมาดูประสบการณ์ไง ท่านพูดน่ะสอนเหมือนเด็กๆ เวลามันโตแล้วนะบอกว่าสอนเหมือนเด็กๆ แต่ตอนเป็นเด็กนั้นจะเป็นจะตาย ตอนเป็นเด็กนั่นน่ะมันสู้ไม่ไหว ตอนเป็นเด็กมันจะรากเลือด แต่พอมันผ่านไปแล้วไง สอนเหมือนเด็กๆ ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ไอ้นี่ย้อนกลับมาพวกเราไง เราเป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่ล่ะ เราเป็น อะไรล่ะ เราเป็นคนไม่เอาไหนไง ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไง เราเป็นคนที่จับต้องอะไรไม่ได้กันเลย เราถึงไม่มีสาระอะไรในตัวเราไง

มันต้องมีสาระสิ อย่างบทสวดมนต์ก็ต้องมีสาระ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างในการประพฤติปฏิบัติของเราก็ต้องมีสาระ ถ้ามีสาระขึ้นมา เราก็ทำของเราได้ ทีนี้มันก็อยู่ที่วาสนาบารมีของคนไง วาสนาที่มันอ่อนแอ วาสนาที่มันไม่เอาไหน มันก็ไม่เอาไหนตลอดไป วาสนาคนที่มันจะเอาไหน แต่มันไม่มีใครสอน ไม่มีใครบอก มันก็สำมะเลเทเมา

แต่ถ้ามันมีคนคอยบอกคอยสอน แล้วคนบอกคนสอนที่เราลงใจ อย่างเช่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านบอก แล้วหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ เวลาท่านบอกเราท่านโกหกหรือ ก็ลองสิ ท่านบอกให้พุทโธก็พุทโธสิ ถ้าพุทโธถ้าไม่ได้กลับมาบอกหลวงปู่สอนผมผิด เออเอาสิ ทำสิ ทำเสร็จแล้วกลับไปหาท่านบอกว่าท่านสอนผิด ไม่มีใครเคยกลับไปหาท่านเลย เวลาท่านสอนนะ พอไปปฏิบัติแล้วไม่มีใครหันกลับมาเลย ไปไหนหมดก็ไม่รู้ ถ้าเราลงใจอย่างนี้นะ เราทำจริงทำจังขึ้นมามันก็จะเป็นคุณประโยชน์ มันต้องมีสาระ สวดมนต์มันก็ต้องมีสาระนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

แต่ถ้ามันไปบูชาไอ้ไสยเวท ไปบูชาไอ้รูปเคารพบ้าบอคอแตกนั่นน่ะ แล้วเราจะไปเคารพบูชาเขาทำไม ถ้าเราไปเคารพบูชาโดยไม่รู้ตัว อ้อนวอน ก็เอ็งสวด เอ็งอ้อนวอนขอให้พบเขา แล้วเอ็งบอกเอ็งจะไม่เอาเขาได้อย่างไรล่ะ ก็เอ็งไปหาเขาเอง

แต่ถ้าเรารู้ว่ามันถูกมันผิดใช่ไหม เราก็ไม่ไปสวดอย่างนั้น เราก็สวดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเรา สวดมนต์จำเป็นไหม จำเป็น แต่เนื้อหาสาระจำเป็นเรื่องอะไร ครูบา-อาจารย์ของเราท่านเป็นยอดคน ครูบาอาจารย์ของเราท่านมีสติปัญญา ท่านถึงคัดสรรแต่สิ่งที่ดีๆ มาให้พวกเราดำเนินตาม ครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม ท่านมีสติปัญญา ท่านถึงได้แสวงหาสิ่งดีๆ เหมือนพ่อแม่เลย พ่อแม่เลือกแต่อาหารที่ดีๆ ให้กับลูก ลูกของเราอย่ากินสารพิษ อย่ากินของที่เป็นโทษ

ครูบาอาจารย์เราท่านคัดสรรมาให้แล้ว แต่ไอ้กิเลสมันทิ่มมันตำ แล้วสมัยปัจจุบันนี้ด้วย การประพฤติปฏิบัติมีการแข่งขันกัน ก็เที่ยวเหยียดหยามเสียดสีกัน ไอ้พวกเราก็ไอ้หลังบาง ใคร ดูถูกหน่อย แหมไม่ได้ เจ็บ อาย ปฏิบัติก็ไม่กล้าบอกว่าพุทโธนะ เดี๋ยวนี้ไปข้างนอกไม่กล้าบอกพุทโธหรอก กลัวเขาบอกเป็นสมถะ ไม่ได้ใช้ปัญญา โอไม่กล้าบอก ไปไหนบอก อู๋ยฉันสติปัฏฐาน ๔ ใช้ปัญญาเก่ง” ขี้โม้ ไม่มีสาระ ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร

คนที่มีแก่นสาร เห็นไหม ก็พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ กรรมฐาน ๔๐ ห้อง การทำความสงบ ๔๐ วิธีการ จิตไม่สงบจะเอาอะไรไปใช้ปัญญา หลวงปู่เจี๊ยะถาม ถามพวกอภิธรรม เขาบอกว่า ก็จิตสงบแล้ว เวลาจิตสงบแล้วก็พิจารณาสติปัฏฐาน ๔ สิคะ พิจารณากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนา-นุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน

แล้วหลวงปู่เจี๊ยะถามว่า แล้วพิจารณาอย่างไรล่ะ

ก็พิจารณาสติปัฏฐาน ๔ สิคะ

หลวงปู่เจี๊ยะถามว่า แล้วมันพิจารณาอย่างไรล่ะ

ก็พิจารณาสติปัฏฐาน ๔ สิคะ

เรานั่งอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะน่ะ หลวงปู่เจี๊ยะบอก เฮ้ยเขาต้องใช้จิตพิจารณานะ เขาต้องใช้จิตพิจารณา เรานั่งอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ แล้วไอ้อภิธรรมตัวใหญ่ด้วยนะ เวลาถามเพราะเก่ง ท่านถามว่า แล้วสติปัฏฐาน ๔ พิจารณาอย่างไรล่ะ” “โอ้โฮก็พิจารณาสติปัฏฐาน ๔ สิคะ” พิจารณาสติปัฏฐาน ๔ มันท่องกันมาจนนกแก้วนกขุนทอง ท่องกันมาจนคล่องปาก เวลาถามมัน มันตอบไม่ได้ แล้วเราก็นั่งลุ้นอยู่นะ ว่าหลวงปู่เจี๊ยะท่านจะสอยอย่างไร

เฮ้ยเขาใช้จิตพิจารณานะ

คนที่จิตสงบจิตมันเป็นเอกัคคตารมณ์จิต มันตั้งมั่น จิตมันมีความสุข คนที่มีความสุข ความสงบ ความระงับจะทำงานสิ่งใดก็คล่องตัว คนที่ทุกข์ที่ยาก คนที่แบกหามทำสิ่งใดพะรุงพะรังไปทั้งนั้น จิตโดยปัจจุบันของเรามันพะรุงพะรังด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันพะรุงพะรังไปด้วยการฟุ้งซ่าน แล้วมันก็ไปใช้สติปัฏฐาน ๔ ไปคิด ไปพิจารณา ก็มันเรียนมา มันรู้ มันก็พิจารณาไปตามนั้นๆ มันก็เป็นโลกียปัญญา มันเป็นปัญญาแบบเราตรึกเอา มันจะมีประโยชน์อะไร

เวลาจิตมันสงบแล้ว จิตมันสงบแล้ว หลวงปู่เจี๊ยะบอก เฮ้ยเขาใช้จิตพิจารณานะ” แต่เขาก็ฟังไม่รู้หรอก ไอ้เรานั่งอยู่นั่นด้วย แหมฟังแล้วมันซึ้งมากนะ มันกระหยิ่มยิ้มย่องไง วันนี้อาจารย์กูชกเขาเต็มหน้าเลย แหมมันภูมิใจมาก แต่ไอ้คนโดนชกมันไม่รู้เรื่อง ไอ้คนโดนชกเต็มหน้าเลย มันยังยิ้มแย้มแจ่มใส มันยังครึกครื้นนะ

นี่คืออวิชชาคือความไม่รู้ ความไม่รู้พูดอย่างไรมันก็ไม่รู้ พูดต่อหน้ามันก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่เขามีชื่อเสียงมาก เรานั่งฟังอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะนี่แหละ ฉะนั้น เวลาไอ้ที่ว่า สติปัฏฐาน ๔ สิคะ สติปัฏฐาน ๔ สิคะ” โอ้โฮขำ เขาสอยเอาหงายท้องนะ ถ้าเป็นมวยน็อกต่อหน้าเลย นับร้อยมันก็ไม่ฟื้น น็อกอยู่ตรงหน้า มันยังไม่รู้ตัวเลย นี่ในวงปฏิบัติ

นี่ก็ย้อนกลับมาสวดมนต์ เขาถามเรื่องสวดมนต์นะ เพราะอะไร เพราะมันเป็นปัญหาหญ้าปากคอก ต้องสวดมนต์หรือไม่ ต้องนั่งภาวนาหรือไม่” มันเป็นเรื่องหญ้าปากคอก คำว่า หญ้าปากคอก” มันเหมือนกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ใครพูดก็ได้ ไม่จำเป็น แต่ไอ้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี่แหละถ้าไม่ใช่แพทย์มันวินิจฉัยไม่ได้หรอกว่า อะไรเป็นโทษ อะไรไม่เป็นโทษ เพราะเล็กๆ น้อยๆ นี่แหละ อะไรก็ไม่เป็นไรๆ นี่แหละ แล้วสุดท้ายไปนอนจมกองกันตายอยู่บนนั้นหมดเลย

เพราะไอ้เล็กๆ น้อยๆ นี่แหละ กินแต่ของเสีย กินแต่ของไม่เอาไหน เล็กๆ น้อยๆ ไม่เป็นไรๆ แล้วก็ไปสำมะเลเทเมานอนกองกันอยู่นั่น โรคเต็มตัว ทำอะไรก็ไม่เป็น ร่างกายพิการหมด ก็เล็กๆ น้อยๆ นี่ เล็กๆ น้อยๆ นี่ ไว้มันเจออวิชชาก่อนแล้วค่อยไปถามอาจารย์ ไอ้ของเล็กๆ น้อยๆ ไม่เป็นไรๆ ไม่เป็นไรก็นอนกลิ้งอยู่นั่น เต็มไปหมดเลย เล็กๆ น้อยๆ โตขึ้นมาไม่ได้หรอกเล็กๆ น้อยๆ มันของเล็กน้อยจริงๆ แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่หูตากระจ่างแจ้งนะ จะวิเคราะห์วิจัยให้เราฟัง อะไรควรไม่ควร เป็นไปได้ไม่เป็นไป แล้วเราทำของเราขึ้นมา แล้วหาที่พึ่งของเรา เห็นไหม

นี่พูดถึงว่า มันต้องมีสาระ มันต้องมีที่มาที่ไป เราจะบูชาใคร เราจะอ้อนวอนถึงใคร การสวดมนต์ เราสวดมนต์สรรเสริญพุทธคุณ เป็นคำเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราประพฤติปฏิบัติของเราให้มันเป็นความจริงของเราขึ้นมา แต่ที่เขาเขียนขึ้นมา เขาแต่งขึ้นมา บอก วัดหนึ่งเขาแต่งขึ้นมาประพันธ์ใหม่

เราเชื่อมั่นหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เราไม่เชื่อมั่นพระที่วุฒิภาวะอ่อนด้อยอย่างนี้ เราไม่เคยเชื่อเลย เราไม่เชื่อ แล้วอย่างที่ว่าเวลาเขาแจกหนังสือยอดกัณฑ์พระไตรปิฎก สวดมนต์ยอดกัณฑ์พระไตรปิฎก เราได้รับเยอะแยะ แล้วเรามาเทียบกัน ไม่ตรงกัน ไม่รู้ว่ายอดพระไตรปิฎกของใคร ไอ้ทางนู้นก็เขียนยอดพระไตรปิฎก ไอ้ทางนี้ก็เขียนยอดพระไตรปิฎก แล้วไม่รู้ว่ายอดไหนมันจะเป็นยอดจริงยอดปลอม เราได้รับแจกเยอะ แล้วเอามาเทียบกัน ไม่ตรงกัน ไม่ตรงกันเพราะเป็นมุมมอง มุมมองของแต่ละกลุ่มแต่ละบุคคลที่จะค้นคว้าหามา ใครชอบอย่างไรไม่ชอบ ฉะนั้น จบ

เราสวดของเรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วสวดแล้วมันเป็นการฝึกหัดภาวนาเริ่มต้น แล้วถ้าเอาจริงเอาจังขึ้นมา เราก็พุทโธของเราเลย สวดมนต์พอประมาณแล้วก็นึกพุทโธ นึกพุทโธ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้าพุทธะอยู่กลางหัวใจของเรา เราได้เฝ้าพระพุทธเจ้าตัวเป็นๆ กลางหัวใจของเรา เอวัง